ที่บ้านเลขที่ 22/1 ม.5 ต.บ่อน้ำร้อน อ.กันตัง จ.ตรัง ซึ่งเป็นบ้านของนายจิรโรจน์ ดีจุฑามณี อายุ 31 ปี ซึ่งเรียนจบจากคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ ได้ใช้เวลาว่างหันมาเพาะเลี้ยงปลากระเบนน้ำจืดจำนวนหลากหลายสายพันธุ์ เช่น โมโตโร่ แบล็คไดมอนด์ โพลคาดอท ไทเกอร์ ไฮบริค ฯลฯ โดยเริ่มสนใจศึกษาการเลี้ยงปลากระเบนมาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษาเมื่อปี 2555 ควบคู่ไปกับการเลี้ยงปลาสวยงาม ต่อมาเห็นว่าแนวโน้มความต้องการเลี้ยงปลากระเบนสวยงามยังไปได้สวย ประกอบกับเป็นความชอบส่วนตัว จึงหันมาจัดตั้งฟาร์มโดยจดทะเบียนกับกรมประมงตามสัญญาไซเตสประเภท 3 อย่างถูกต้อง และมีสำนักงานประมงจ.ตรัง ศูนย์วิจัยและการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดตรัง เข้ามาดูแลระบบการจัดการอย่างต่อเนื่อง
และเริ่มสั่งซื้อปลากระเบนชนิดต่าง ๆ มาเพาะเลี้ยง จนกระทั่งได้พ่อแม่พันธุ์ที่แข็งแรง สมบูรณ์ ลวดลายสวยงามตามความต้องการของลูกค้า จึงเริ่มทำการตลาดต่างประเทศ โดยส่งขายตั้งแต่ประเทศ อเมริกา เม็กซิโก ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เกาหลีและเวียดนาม ราคามีตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักหมื่นบาท ส่งขายทุกเดือน ๆ ละประมาณ 100-200 ตัว สร้างรายได้กว่า 1 ล้านบาทต่อปี ซึ่งตอนนี้มีลูกปลากระเบนไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด จนต้องขยายเครือข่ายกลุ่มเพาะเลี้ยงเพิ่มไปยังเกษตรกรจังหวัดใกล้เคียง
โดยปลากระเบน 1 ตัวสามารถออกลูกได้ปีละ 3-4 ครั้ง แต่ละตัวตั้งท้องนาน 3- 3 เดือนครึ่งแล้วแต่สายพันธุ์ ออกลูกตั้งแต่ 1-18 ตัวต่อครั้ง และใช้เวลาเพาะเลี้ยงประมาณ 1-2 เดือน เพื่อให้ปลาแข็งแรง ทนทาน ก็สามารถนำลูกปลากระเบนขนาดความกว้างประมาณ 4-5 นิ้วส่งขายต่างประเทศ เพื่อเป็นปลาสวยงาม ปลากินเนื้อหรือเพาะขายสร้างรายได้เสริม โดยเลี้ยงได้ทั้งในบ่อปลา ในตู้กระจก และสระน้ำขนาดใหญ่ แต่ขอให้น้ำสะอาด ไม่ผ่านการใช้คลอรีนหรือมีสารเคมีเจือปน ส่วนพ่อแม่พันธุ์ราคาหลักหมื่นขึ้นไป ตอนนี้ไม่มีขาย เพราะเน้นผลิตลูกปลาส่งออกเพียงอย่างเดียว สำหรับอาหารคือปลาหลังเขียวหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ และกุ้งฝอยวันละ 2 มื้อเช้า-เย็น มื้อละ 1-2 กิโลกรัม ซึ่งต้นทุนก็ไม่สูงมากนัก
ด้านนายจิรโรจน์ ดีจุฑามณี เจ้าของฟาร์มเพาะเลี้ยงปลากระเบนตรังกล่าวว่า ตอนแรกตนเลี้ยงปลาสวยงามก่อน ต่อมาเห็นว่าตลาดปลากระเบนยังโตต่อเนื่องจึงหันมาเพาะเลี้ยงและเริ่มสร้างเป็นบ่อขึ้นมา จึงเริ่มเลี้ยงพ่อแม่ปลาและสะสมมาเรื่อย ๆ ซึ่งที่ฟาร์มหลัก ๆ คือโมโตโร่ เคอเรย์ แบล็คไดมอนด์ และไฮบริค ราคาเริ่มต้นที่ 800-5,000 บาทแล้วแต่ชนิดและขนาด ตอนนี้มีตลาดอเมริกา เม็กซิโก ญี่ปุ่น เกาหลี อินโนนีเซียและเวียดนาม สร้างรายได้สูงต่อเดือน
โดยมองว่าเป็นอาชีพที่สร้างรายได้เข้าประเทศจำนวนมหาศาล แต่จะคุ้มทุนหรือไม่ อยู่ที่การบริหารจัดการ อนาคตยังขายได้เรื่อย ๆ ตลาดยังมีความต้องการสูง เช่น ยุโรป อเมริกา เพาะได้น้อยเพราะต้นทุนแพง ช่วงหนาวก็เพาะไม่ได้ ต่างกับประเทศไทยซึ่งมีภูมิอากาศใกล้เคียงกันกับประเทศต้นกำเนิด จึงทำให้สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ทั้งปี